3 เป้าหมายในการล้มรัฐบาล บรรทัดฐานทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยคนเสื้อเหลือง และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยคือ
การล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยการสร้างความเสียหาย และความวุ่นวายในสังคมและที่เป็นอันตรายยิ่งกว่าคือ
ไม่มีการจัดการทางกฏหมายอย่างจริงจังกับแกนนำ
และผู้เข้าร่วมการประท้วงดังกล่าว ข้อสรุปจากเหตุการณ์ทั้งหมดคือ ใคร ๆ
ก็สามารถล้มรัฐบาลได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจทางการเมือง ไม่จำเป็นต้องยืนบนหลักการ
ขอแค่มีกำลังคนที่เพียงพอ และสร้างความเสียหายที่มากพอ รัฐบาลก็จะล้มไปเอง
หากบรรทัดฐานดังกล่าว ได้รับการยอมรับจากสังคม
รัฐไทยก็จะไม่มีรัฐบาลที่เข้มแข็ง และบริหารประเทศได้อีกต่อไป
เพราะไม่มีรัฐบาลใดในโลกนี้ ที่ได้รับการยอมรับจากคนทุกฝ่าย
ทุกกลุ่มในสังคม การชุมนุมประท้วงเพื่อล้มล้างรัฐบาล ก็จะเกิดขึ้นตลอดเวลา
น่า
เสียดาย ที่ความกังวลที่ว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นจริง เพราะหลังจากที่
นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นายก ฯ ได้เพียงสามเดือน
การชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดงเพื่อขับไล่รัฐบาลก็เกิดขึ้น ทำให้หลาย ๆ คน
(รวมทั้งผมด้วย) มองว่า ทั้งกลุ่มเสื้อเหลือง และเสื้อแดง
สุดท้ายแล้วเป้าหมายและวิธีการก็ไม่ต่างกัน นั่นคือ สร้างความเสียหาย
เพื่อช่วงชิงอำนาจ แต่เหตุการณ์ทั้งหมด กลับมาเจอจุดหักเหที่สำคัญคือ
การมอบตัวของกลุ่มแกนนำเสื้อแดง ทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง
และเสียงตอบรับจากสังคม (ส่วนหนึ่ง) และสื่อต่างประเทศค่อนข้างชัดเจน
โดยมองว่า การยุติการชุมนุมของคนเสื้อแดง เป็นชัยชนะในความพ่ายแพ้
เพราะแม้ว่า การล้มรัฐบาลซึ่งเป็นเป้าหมายจะไม่บรรลุผล
แต่ภาพพจน์ของคนเสื้อแดงกลับดีขึ้น
เหตุการณ์ดังกล่าว เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีที่ทำให้เราเห็นว่า
คนส่วนมากไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมประท้วง เพื่อล้มล้างรัฐบาล
ตอนที่ผมเล่าเรื่องคนเสื้อเหลือง เสื้อแดงให้เพื่อนเยอรมันฟัง
มีคำพูดหนึ่งซึ่งเพื่อนผมพูดไว้และผมรู้สึกชอบมากคือ
"Man muss von der Wahl profitieren." แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
"เราต้องแสวงหาผลประโยชน์จากการเลือกตั้ง"ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล เราจะชอบหรือไม่ชอบ
แต่ระบอบประชาธิปไตย เปิดช่องว่างให้เราแสวงหาผลประโยชน์จากรัฐบาลเสมอ
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนผมไม่เข้าใจทั้งคนเสื้อเหลือง
และเสื้อแดง ว่าทำไมรวมคนกันได้มากมายขนาดนั้น
แทนที่จะกดดันรัฐบาลในการกำหนดนนโยบาย
เพื่อให้กลุ่มของตนเองได้รับผลประโยชน์สูงสุด
สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการกดดันให้รัฐบาลลาออก
โดยที่ไม่มีใครได้ผลประโยชน์ แต่รัฐไทยกลับสูญเสียความน่าเชื่อถือ
และเศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างแรง
แม้ว่าสุดท้ายแล้วเหตุการณ์จะสงบลง และภาพพจน์ของคนเสื้อแดงจะดีขึ้นบ้าง
จากการเลิกชุมนุมประท้วง แต่หากการชุมนุมของคนเสื้อแดง
เป็นไปในทางสร้างสรรค์ตั้งแต่แรก ผมคิดว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ย่อมส่งผลดีต่อทั้งคนในสังคม
และคนเสื้อแดงมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้แน่นอน
บทสรุป แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
จะพิสูจน์ให้เราเห็นว่า
คนเสื้อแดงผู้สนับสนุนทักษิณเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
และพรรคพลังประชาชนควรได้รับความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย
ในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศ
แต่ท่ามกลางความแปรปรวนของการเมืองในประเทศไทย
การแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มอำมาตยา และทักษิณ
มีคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงเป็นหมากเบี้ย ยุทธวิธีแย่งชิงมวลชลต่าง ๆ
นานาจึงถูกนำมาใช้ จุดอ่อนของคนเสื้อแดงดังที่ผมเขียนไปแล้วนั้น
ทำให้คนเสื้อแดงเสียมวลชล และความน่าเชื่อถือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มชนชั้นกลางในเมือง
ที่มีเสียงดังสนั่นกว่ากลุ่มคนอื่น ๆ ในสังคมไทย
การปรับเปลี่ยนเป้าหมาย (เบี่ยงเบนจากการสนับสนุนทักษิณ) และวิธีการ
(หลีกเลี่ยงการสร้างความวุ่นวายและใช้ความรุนแรง)
จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคนเสื้อแดงมากขึ้น
การตอกย้ำความทรงจำในเรื่องอภิมหาคอรัปชั่น
และความแตกแยกในสังคมช่วงก่อนรัฐประหาร
อาจทำให้คนเสื้อแดงลืมทักษิณได้ง่ายขึ้น